Friday, June 24, 2016

รถหัดเดิน...เมื่อไหร่จะเลิกใช้?

พอดีไปอ่านเจอบทความนี้เข้าค่ะ  เลยเอามาแชร์กันเพื่อการพิจารณาค่ะ


รถหัดเดิน...เมื่อไหร่จะเลิกใช้ ?
บทความโดย ...  ประจวบ ผลิตผลการพิมพ์

ในประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น แคนาดา  ออสเตรเลีย  และสหรัฐอเมริกา (ในหลายๆรัฐ)
ล้วนแต่เห็นโทษภัยของ “รถหัดเดิน-สำหรับเด็ก” จนทางการห้ามขาย
ส่วนประชาชนก็พากันเลิกซื้อเลิกใช้กันอย่างถาวร ถึง10กว่าปีแล้ว
จะไม่เลิกใช้กันได้อย่างไรล่ะครับ บ้านเมืองเขาต่างก็มีข้อมูล และมีสถิติที่ชัดเจน
เช่น สหรัฐอเมริกา ขนาดเมื่อ 20ปีก่อน เด็กในประเทศของเขาได้รับบาดเจ็บจากรถหัดเดิน
ถึง 2หมื่น4พัน...ถัดจากนั้นอีกแค่ 7ปี  ตัวเลขนั้นก็เพิ่มขึ้นเป็น 2หมื่น9พันคน !


แม้แต่ในเมืองไทยเราเองก็เคยมีการวิจัยพบว่า เด็กๆ 1ใน 3 เคยได้รับบาดเจ็บจากการใช้รถหัดเดินมาแล้ว  

1 )  เนื่องจากสภาพของรถหัดเดินโดยมากแล้วจะมีฐานที่ไม่กว้าง โครงสร้างก็เปราะบาง
 จึงมักจะเกิดเหตุพลิกคว่ำอยู่เสมอ โดยเฉพาะเมื่อเด็กไถไปโดยเร็วแล้วไปเจอพื้นต่างระดับ ไปสะดุดกับสิ่งของบนพื้น
หรือแม้แต่ไถไปชนโครมกับเสาหรือกำแพง จนได้รับบาดเจ็บ ไม่ว่าจะที่แขนขาหรือใบหน้า ต้นคอ หรือที่ศีรษะ
แต่อุบัติเหตุลักษณะนี้ จะเป็นเรื่องหนักหน่วงขึ้นมาทันทีที่รถหัดเดินร่วงลงมาจากที่สูง
ไม่ว่าจะเป็นชั้นบนของบ้าน หรือบ้านที่มีใต้ถุน ซึ่งโดยมากก็มักจะไม่มีประตูกั้นช่วงหน้าบันได หรืออาจจะอุตส่าห์ทำไว้
แต่ดันลืมเสียบกลอน ! ...จึงต้องพึงสังวรไว้ว่า มีเด็กที่ต้องพิการ หรือเสียชีวิตในกรณีนี้...ไม่น้อยเลย...


2 ) นอกจากเด็กน้อยจะไถรถไปวิ่งชนกับ “ของแข็ง”อย่างที่ว่าแล้ว
ยังมีโอกาสวิ่งไปชน “ของร้อน”อีกด้วย
... นั่นก็คือ การวิ่งชนโต๊ะที่วางกาน้ำร้อน หม้อหุงข้าว หรือสายไฟเตารีด !
 ( กรณีโดนน้ำร้อนลวก เพียงแค่ 30วินาทีผิวหนังจะไหม้ และอาจเสียหายอย่างถาวร จนหมออาจต้องนำเนื้อเยื่อมาปลูกใหม่
หากบาดแผลนั้นกินบริเวณกว้าง  และการโดนของร้อนนั้น อาจทำให้ช็อคได้ เนื่องจากร่างกายสูญเสียน้ำ และเกลือแร่อย่างฉับพลัน )

3 )  สิ่งที่อาจจะนึกไม่ถึง แต่ได้เกิดขึ้นแล้ว  ก็คือ  รถหัดเดินเป็นอีกสาเหตุให้เด็ก...
“จมน้ำตาย”!
 ดังเช่น จากรายงาน ทั้งในไทยและต่างประเทศ ที่เกิดกรณี เด็กไถรถหัดเดิน
จนหล่นตูมลงไปในสระน้ำ ในบ่อน้ำ ฯลฯ...
  หรือไถรถไปชนจนหน้าคว่ำลงไปในอ่างน้ำ  ถังน้ำ หรือแม้แต่ส้วมชักโครก 
ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นอุบัติเหตุที่ไม่ร้ายแรง
 แต่..ไม่ใช่ครับ! เพราะนั่นจะนำมาสู่ภาวะสมองตาย เพราะขาดอากาศหายใจ
และเป็นเรื่องที่ยากจะเยียวยา ที่แพทย์เองก็ต้องหนักใจ



 แม้จะอันตราย  แต่เหตุใด “รถหัดเดิน ”
จึงยังคงเป็นที่นิยมของชาวไทยแลนด์แดนสไมล์อย่างเราๆ  ?
 ( คุณจะพบว่าพวกฝรั่งอาจเป็นงง เมื่อเห็นรถหัดเดินยังวางขายกัน
เกร่อทั้งในห้าง และตามตลาดสด)
1...  เหตุเพราะ  ความเชื่อ...  เชื่อว่าช่วยให้เด็กเดินได้เร็วขึ้น
ซึ่งเป็นความเชื่อที่ไม่มีเหตุผลรองรับ  แต่ก็ยังยึดมั่นในความเชื่อนั้นไว้
ซึ่งอาจจะเกิดจากให้ข้อมูลด้านเดียว หรือการให้ข้อมูลที่ผิดๆจาก ผู้ผลิต  ผู้ขาย
 ในขณะที่ข้อมูลด้านอันตราย และสถิติตัวเลข  เด็กตาย
เด็กบาดเจ็บ จากผลิตภัณฑ์นี้ กลับไม่ค่อยได้รับการเผยแพร่
เช่นเดียวกับงานวิจัยทั้งไทยและเทศที่ออกมาตรงกันว่า
รถหัดเดินนั้น ไม่ได้ช่วยให้เด็กเล็กเดินเป็นเร็วเลย ซ้ำยังกลับทำให้เด็กเดินช้ากว่าปกติซะอีก
ดังเช่นงานวิจัยของประเทศสิงคโปร์ ที่ระบุว่า เด็กที่ใช้รถหัดเดินเป็นประจำนั้น เกือบ 11 %
จะมีพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหวช้ากว่าปกติ
 ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ที่ให้ลูกใช้รถหัดเดินเป็นประจำ จะสังเกตได้เลยว่า
... ยามที่ลูกไถรถเขาจะเอนตัวไปข้างหน้า ปลายเท้าจะจิกลงพื้น และเกร็งขามากกว่าปกติ
แม้ว่าจะช่วยให้รถไถไปได้    แต่ผลเสียก็คือ...นั่นเป็นการฝึกเดินที่ผิดลักษณะ เกิดการทรงตัวที่ไม่ดี
และจะสร้างปัญหาให้ในยามที่เขาต้องหีดเดินด้วยตนเอง
2 ...  พ่อแม่เห็นว่า เป็นการช่วยให้เด็กเล็กเพลิดเพลินสนุกสนาน  กับการไถรถไปอย่างอิสระเสรี
ในขณะที่พ่อแม่เองก็ได้ผ่อนภาระกับการที่ต้องอุ้มกระเตงๆอยู่ตลอดเวลา
ดังนั้น เด็กอายุแค่ 5-6 เดือน ก็โดนจับหย่อนลงไปในเก้าอี้หัดเดินซะแล้ว !
ตราบใดที่ยังมีคนเชื่อว่า มันเป็นสิ่งดีมีประโยชน์  ตราบนั้นก็ยังมีคนผลิต  คนขาย  และคนซื้อ ...
ตราบใดที่ข้อมูลทางด้านอันตรายยังคงเป็นเหมือน การโยนเศษหินลงไปในมหาสมุทร
นั่นย่อมไม่ก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมใดๆที่พอจะมีผลในวงกว้าง ...
และตราบนั้น ...  เด็กเล็กก็ยังคงโดนจับหย่อนก้นลงไปใน “รถหัดเดิน”
อย่างไม่มีวันเปลี่ยนแปลง !!! .....


อ้างอิงจาก  
www.csip.org
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=317201 


โดยความเห็นส่วนตัว คิดว่า ทุกๆ สิ่งล้วนมีข้อดีและข้อเสียค่ะ   แต่สิ่งสำคัญคือ เราต้องเอาใจใส่และคอยระมัดระวังในการใช้งานค่ะ  โดยเฉพาะเครื่องใช้ ของเล่นที่ใช้กับเด็กๆ นอกจากเราควรเลือกของเล่นที่ดี มีคุณภาพ มีมาตรฐานการผลิตจากแหล่งผลิตที่มีชื่อเสียง  อย่างเช่น Jolly Baby Jumper แล้ว  นอกจากนี้เราควรเอาใจใส่ ดูแล  เวลาใช้งานสิ่งนั้นๆ ด้วยนะคะ

"ขอให้เด็กน้อยมีความสุขกับการเล่น พร้อมไปกับการพัฒนาการด้วยนะคะ"