รถหัดเดิน...เมื่อไหร่จะเลิกใช้ ?
บทความโดย ... ประจวบ ผลิตผลการพิมพ์
ในประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น แคนาดา ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา (ในหลายๆรัฐ)
ล้วนแต่เห็นโทษภัยของ “รถหัดเดิน-สำหรับเด็ก” จนทางการห้ามขาย
ส่วนประชาชนก็พากันเลิกซื้อเลิกใช้กันอย่างถาวร ถึง10กว่าปีแล้ว
จะไม่เลิกใช้กันได้อย่างไรล่ะครับ บ้านเมืองเขาต่างก็มีข้อมูล และมีสถิติที่ชัดเจน
เช่น สหรัฐอเมริกา ขนาดเมื่อ 20ปีก่อน เด็กในประเทศของเขาได้รับบาดเจ็บจากรถหัดเดิน
ถึง 2หมื่น4พัน...ถัดจากนั้นอีกแค่ 7ปี ตัวเลขนั้นก็เพิ่มขึ้นเป็น 2หมื่น9พันคน !
แม้แต่ในเมืองไทยเราเองก็เคยมีการวิจัยพบว่า เด็กๆ 1ใน 3 เคยได้รับบาดเจ็บจากการใช้รถหัดเดินมาแล้ว
1 ) เนื่องจากสภาพของรถหัดเดินโดยมากแล้วจะมีฐานที่ไม่กว้าง โครงสร้างก็เปราะบาง
จึงมักจะเกิดเหตุพลิกคว่ำอยู่เสมอ โดยเฉพาะเมื่อเด็กไถไปโดยเร็วแล้วไปเจอพื้นต่างระดับ ไปสะดุดกับสิ่งของบนพื้น
หรือแม้แต่ไถไปชนโครมกับเสาหรือกำแพง จนได้รับบาดเจ็บ ไม่ว่าจะที่แขนขาหรือใบหน้า ต้นคอ หรือที่ศีรษะ
แต่อุบัติเหตุลักษณะนี้ จะเป็นเรื่องหนักหน่วงขึ้นมาทันทีที่รถหัดเดินร่วงลงมาจากที่สูง
ไม่ว่าจะเป็นชั้นบนของบ้าน หรือบ้านที่มีใต้ถุน ซึ่งโดยมากก็มักจะไม่มีประตูกั้นช่วงหน้าบันได หรืออาจจะอุตส่าห์ทำไว้
แต่ดันลืมเสียบกลอน ! ...จึงต้องพึงสังวรไว้ว่า มีเด็กที่ต้องพิการ หรือเสียชีวิตในกรณีนี้...ไม่น้อยเลย...
จึงมักจะเกิดเหตุพลิกคว่ำอยู่เสมอ โดยเฉพาะเมื่อเด็กไถไปโดยเร็วแล้วไปเจอพื้นต่างระดับ ไปสะดุดกับสิ่งของบนพื้น
หรือแม้แต่ไถไปชนโครมกับเสาหรือกำแพง จนได้รับบาดเจ็บ ไม่ว่าจะที่แขนขาหรือใบหน้า ต้นคอ หรือที่ศีรษะ
แต่อุบัติเหตุลักษณะนี้ จะเป็นเรื่องหนักหน่วงขึ้นมาทันทีที่รถหัดเดินร่วงลงมาจากที่สูง
ไม่ว่าจะเป็นชั้นบนของบ้าน หรือบ้านที่มีใต้ถุน ซึ่งโดยมากก็มักจะไม่มีประตูกั้นช่วงหน้าบันได หรืออาจจะอุตส่าห์ทำไว้
แต่ดันลืมเสียบกลอน ! ...จึงต้องพึงสังวรไว้ว่า มีเด็กที่ต้องพิการ หรือเสียชีวิตในกรณีนี้...ไม่น้อยเลย...
2 ) นอกจากเด็กน้อยจะไถรถไปวิ่งชนกับ “ของแข็ง”อย่างที่ว่าแล้ว
ยังมีโอกาสวิ่งไปชน “ของร้อน”อีกด้วย
... นั่นก็คือ การวิ่งชนโต๊ะที่วางกาน้ำร้อน หม้อหุงข้าว หรือสายไฟเตารีด !
( กรณีโดนน้ำร้อนลวก เพียงแค่ 30วินาทีผิวหนังจะไหม้ และอาจเสียหายอย่างถาวร จนหมออาจต้องนำเนื้อเยื่อมาปลูกใหม่
หากบาดแผลนั้นกินบริเวณกว้าง และการโดนของร้อนนั้น อาจทำให้ช็อคได้ เนื่องจากร่างกายสูญเสียน้ำ และเกลือแร่อย่างฉับพลัน )
... นั่นก็คือ การวิ่งชนโต๊ะที่วางกาน้ำร้อน หม้อหุงข้าว หรือสายไฟเตารีด !
( กรณีโดนน้ำร้อนลวก เพียงแค่ 30วินาทีผิวหนังจะไหม้ และอาจเสียหายอย่างถาวร จนหมออาจต้องนำเนื้อเยื่อมาปลูกใหม่
หากบาดแผลนั้นกินบริเวณกว้าง และการโดนของร้อนนั้น อาจทำให้ช็อคได้ เนื่องจากร่างกายสูญเสียน้ำ และเกลือแร่อย่างฉับพลัน )
3 ) สิ่งที่อาจจะนึกไม่ถึง แต่ได้เกิดขึ้นแล้ว ก็คือ รถหัดเดินเป็นอีกสาเหตุให้เด็ก...
“จมน้ำตาย”!
ดังเช่น จากรายงาน ทั้งในไทยและต่างประเทศ ที่เกิดกรณี เด็กไถรถหัดเดิน
จนหล่นตูมลงไปในสระน้ำ ในบ่อน้ำ ฯลฯ...
หรือไถรถไปชนจนหน้าคว่ำลงไปในอ่างน้ำ ถังน้ำ หรือแม้แต่ส้วมชักโครก
ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นอุบัติเหตุที่ไม่ร้ายแรง
แต่..ไม่ใช่ครับ! เพราะนั่นจะนำมาสู่ภาวะสมองตาย เพราะขาดอากาศหายใจ
และเป็นเรื่องที่ยากจะเยียวยา ที่แพทย์เองก็ต้องหนักใจ
“จมน้ำตาย”!
ดังเช่น จากรายงาน ทั้งในไทยและต่างประเทศ ที่เกิดกรณี เด็กไถรถหัดเดิน
จนหล่นตูมลงไปในสระน้ำ ในบ่อน้ำ ฯลฯ...
หรือไถรถไปชนจนหน้าคว่ำลงไปในอ่างน้ำ ถังน้ำ หรือแม้แต่ส้วมชักโครก
ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นอุบัติเหตุที่ไม่ร้ายแรง
แต่..ไม่ใช่ครับ! เพราะนั่นจะนำมาสู่ภาวะสมองตาย เพราะขาดอากาศหายใจ
และเป็นเรื่องที่ยากจะเยียวยา ที่แพทย์เองก็ต้องหนักใจ
แม้จะอันตราย แต่เหตุใด “รถหัดเดิน ”
จึงยังคงเป็นที่นิยมของชาวไทยแลนด์แดนสไมล์อย่างเราๆ ?
( คุณจะพบว่าพวกฝรั่งอาจเป็นงง เมื่อเห็นรถหัดเดินยังวางขายกัน
เกร่อทั้งในห้าง และตามตลาดสด)
จึงยังคงเป็นที่นิยมของชาวไทยแลนด์แดนสไมล์อย่างเราๆ ?
( คุณจะพบว่าพวกฝรั่งอาจเป็นงง เมื่อเห็นรถหัดเดินยังวางขายกัน
เกร่อทั้งในห้าง และตามตลาดสด)
1... เหตุเพราะ ความเชื่อ... เชื่อว่าช่วยให้เด็กเดินได้เร็วขึ้น
ซึ่งเป็นความเชื่อที่ไม่มีเหตุผลรองรับ แต่ก็ยังยึดมั่นในความเชื่อนั้นไว้
ซึ่งอาจจะเกิดจากให้ข้อมูลด้านเดียว หรือการให้ข้อมูลที่ผิดๆจาก ผู้ผลิต ผู้ขาย
ในขณะที่ข้อมูลด้านอันตราย และสถิติตัวเลข เด็กตาย
เด็กบาดเจ็บ จากผลิตภัณฑ์นี้ กลับไม่ค่อยได้รับการเผยแพร่
เช่นเดียวกับงานวิจัยทั้งไทยและเทศที่ออกมาตรงกันว่า
รถหัดเดินนั้น ไม่ได้ช่วยให้เด็กเล็กเดินเป็นเร็วเลย ซ้ำยังกลับทำให้เด็กเดินช้ากว่าปกติซะอีก
ดังเช่นงานวิจัยของประเทศสิงคโปร์ ที่ระบุว่า เด็กที่ใช้รถหัดเดินเป็นประจำนั้น เกือบ 11 %
จะมีพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหวช้ากว่าปกติ
ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ที่ให้ลูกใช้รถหัดเดินเป็นประจำ จะสังเกตได้เลยว่า
... ยามที่ลูกไถรถเขาจะเอนตัวไปข้างหน้า ปลายเท้าจะจิกลงพื้น และเกร็งขามากกว่าปกติ
แม้ว่าจะช่วยให้รถไถไปได้ แต่ผลเสียก็คือ...นั่นเป็นการฝึกเดินที่ผิดลักษณะ เกิดการทรงตัวที่ไม่ดี
และจะสร้างปัญหาให้ในยามที่เขาต้องหีดเดินด้วยตนเอง
ซึ่งเป็นความเชื่อที่ไม่มีเหตุผลรองรับ แต่ก็ยังยึดมั่นในความเชื่อนั้นไว้
ซึ่งอาจจะเกิดจากให้ข้อมูลด้านเดียว หรือการให้ข้อมูลที่ผิดๆจาก ผู้ผลิต ผู้ขาย
ในขณะที่ข้อมูลด้านอันตราย และสถิติตัวเลข เด็กตาย
เด็กบาดเจ็บ จากผลิตภัณฑ์นี้ กลับไม่ค่อยได้รับการเผยแพร่
เช่นเดียวกับงานวิจัยทั้งไทยและเทศที่ออกมาตรงกันว่า
รถหัดเดินนั้น ไม่ได้ช่วยให้เด็กเล็กเดินเป็นเร็วเลย ซ้ำยังกลับทำให้เด็กเดินช้ากว่าปกติซะอีก
ดังเช่นงานวิจัยของประเทศสิงคโปร์ ที่ระบุว่า เด็กที่ใช้รถหัดเดินเป็นประจำนั้น เกือบ 11 %
จะมีพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหวช้ากว่าปกติ
ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ที่ให้ลูกใช้รถหัดเดินเป็นประจำ จะสังเกตได้เลยว่า
... ยามที่ลูกไถรถเขาจะเอนตัวไปข้างหน้า ปลายเท้าจะจิกลงพื้น และเกร็งขามากกว่าปกติ
แม้ว่าจะช่วยให้รถไถไปได้ แต่ผลเสียก็คือ...นั่นเป็นการฝึกเดินที่ผิดลักษณะ เกิดการทรงตัวที่ไม่ดี
และจะสร้างปัญหาให้ในยามที่เขาต้องหีดเดินด้วยตนเอง
2 ... พ่อแม่เห็นว่า เป็นการช่วยให้เด็กเล็กเพลิดเพลินสนุกสนาน กับการไถรถไปอย่างอิสระเสรี
ในขณะที่พ่อแม่เองก็ได้ผ่อนภาระกับการที่ต้องอุ้มกระเตงๆอยู่ตลอดเวลา
ดังนั้น เด็กอายุแค่ 5-6 เดือน ก็โดนจับหย่อนลงไปในเก้าอี้หัดเดินซะแล้ว !
ในขณะที่พ่อแม่เองก็ได้ผ่อนภาระกับการที่ต้องอุ้มกระเตงๆอยู่ตลอดเวลา
ดังนั้น เด็กอายุแค่ 5-6 เดือน ก็โดนจับหย่อนลงไปในเก้าอี้หัดเดินซะแล้ว !
ตราบใดที่ยังมีคนเชื่อว่า มันเป็นสิ่งดีมีประโยชน์ ตราบนั้นก็ยังมีคนผลิต คนขาย และคนซื้อ ...
ตราบใดที่ข้อมูลทางด้านอันตรายยังคงเป็นเหมือน การโยนเศษหินลงไปในมหาสมุทร
นั่นย่อมไม่ก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมใดๆที่พอจะมีผลในวงกว้าง ...
ตราบใดที่ข้อมูลทางด้านอันตรายยังคงเป็นเหมือน การโยนเศษหินลงไปในมหาสมุทร
นั่นย่อมไม่ก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมใดๆที่พอจะมีผลในวงกว้าง ...
และตราบนั้น ... เด็กเล็กก็ยังคงโดนจับหย่อนก้นลงไปใน “รถหัดเดิน”
อย่างไม่มีวันเปลี่ยนแปลง !!! .....
อย่างไม่มีวันเปลี่ยนแปลง !!! .....
อ้างอิงจาก
www.csip.org
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=317201
โดยความเห็นส่วนตัว คิดว่า ทุกๆ สิ่งล้วนมีข้อดีและข้อเสียค่ะ แต่สิ่งสำคัญคือ เราต้องเอาใจใส่และคอยระมัดระวังในการใช้งานค่ะ โดยเฉพาะเครื่องใช้ ของเล่นที่ใช้กับเด็กๆ นอกจากเราควรเลือกของเล่นที่ดี มีคุณภาพ มีมาตรฐานการผลิตจากแหล่งผลิตที่มีชื่อเสียง อย่างเช่น Jolly Baby Jumper แล้ว นอกจากนี้เราควรเอาใจใส่ ดูแล เวลาใช้งานสิ่งนั้นๆ ด้วยนะคะ
"ขอให้เด็กน้อยมีความสุขกับการเล่น พร้อมไปกับการพัฒนาการด้วยนะคะ"